พอลงจากแม่สลอง มุ่งหน้าสู่ดอยตุง ระยะทางไม่ไกล แต่สงสัยมาทางเก่าทำให้ต้องขึ้นเขา คดเคี้ยวยิ่งกว่าขึ้นดอยแม่สลอง รถสวนทางแทบจะไม่มี ...
ถึงแล้วดอยตุง
fact.
พระตำหนักดอยตุงเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2530 เมื่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มี พระชนมายุ 88 พรรษา โดยก่อนหน้านั้นมีพระราชกระแสว่า หลังพระชนมายุ 90 พรรษา จะไม่เสด็จไปประทับที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ จึงได้เลือกดอยตุง ซึ่งมีทิวทัศน์สวยงาม ขณะเดียว กันสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี เมื่อทรงทอดพระเนตรพื้นที่ เมื่อต้นปี พ.ศ.2530 ก็ทรงพอพระราชหฤทัย และมีีพระราชดำริจะสร้างบ้านที่ดอยตุงพร้อมกันนี้ ยังมีพระราชกระแสรับสั่งว่าจะ ปลูกป่าบนดอยสูงจึงกำเนิดเป็น โครงการพัฒนาดอยตุงขึ้น โครงการพัฒนาดอยตุงเริ่มดำเนินการโดยความร่วมมือจากหน่วยราชการทุกส่วน เช่น กรมป่าไม้ กรมชลประทาน หน่วยงานด้านปกครอง นอกจากทำการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพพื้นที่แล้วยังมีการฝึกอาชีพ เพื่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวเขาบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วยชาวเขาเผ่าอาข่าลาหู่ ไทยใหญ่ และจีนฮ่อ ขณะเดียว กันยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีตนไว้
ดอยตุง ประกอบด้วย 4ส่วน
1.หอพระราชประวัติ
2.สวนแม่ฟ้าหลวง
3.อาคารพระตำหนักดอยตุง
4.พระธาตุดอยตุง พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ประจำปีกุน
ไปถึงก็กินกาแฟ... อีกแล้ว ...
ขึ้นพระตำหนักก่อน เพราะปิด 5โมงเย็น
เข้าไปด้านในพระตำหนัก
คำเตือน เป็นสถานที่ที่ดูขลังมาก เข้าไปต้องเดินเบาๆ พูดเสียงดังไม่ได้ ไม่ได้มีใครห้ามนะคะ แต่พอรู้ประวัติ และฟังเทปบรรยาย แต่ละห้องในตำหนัก และกิจวัตรของสมเด็จย่า ข้างในรู้สึกตื้นตันแบบบอกไม่ถูก .... ซึ้ง.....
ออกมาจากตำหนัก รู้สึก อิ่ม... ค่ะ
บันทึกภาพไม่ได้เลยถ่ายประตูทางเข้าแทน..
วิวจากด้านบนตำหนัก ตามที่ฟังมา แต่ก่อนผืนป่า ไม่เขียวแบบนี้ เพราะโดนบุกรุก สมเด็จย่า ได้การบูรณะป่าใหม่ และรณรงค์ให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่น และสนับสนุนอาชีพอื่นๆแทน
ลงจากตำหนักมาที่ สวนแม่ฟ้าหลวง
fact.
เป็นสวนดอกไม้เมืองหนาว ในหุบเขา สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2535 เดิมมีพื้นที่ 12 ไร่ มีการปลูกดอกไม้หมุนเวียนสลับ ให้ออกดอกไม่ซ้ำกันตลอดสามฤดู ล้อมรอบประติมากรรมชื่อ "ความต่อเนื่อง" เป็นรูปเด็กยืนต่อตัวที่กลางสวน นอกจากนี้ ยังจัดแต่งสวนหินซึ่งประดับด้วยหินภูเขากลมเกลี้ยงขนาดใหญ่ สวนน้ำอุดมด้วยไม้น้ำพันธุ์ต่างๆ บัว และสวนปาล์มที่รวบ รวมปาล์มไว้มากมายในพื้นที่ 13 ไร่ สวนแม่ฟ้าหลวงจึงมีพื้นที่ทั้งสิ้น 25 ไร่
ช่วงที่ไปเดือนกันยา ดอกไม้ไม่เต็มอ่ะ แต่ก้อยังสวยยยยยยย....
ออกจากดอยตุงก็มุ่งหน้าไป แม่สาย... ไม่ได้ไปชอปปิ้ง นะคะ เพื่อไปถ่ายกับป้าย....นี้...
ทางเข้าไปพม่า
มองลงไปที่แม่น้ำโขงที่กั้นระหว่างไทยพม่า เด็กๆเล่นน้ำกัน...
จากนั้นเวลา6โมงเย็น ทำไมท้องฟ้ามืดไวจัง ต้องทำเวลาไป สามเหลี่ยมทองคำ 30 km
สปีดเร็วกว่านรก 555++ จะทันไม๊แสงสุดท้าย
ถึงจนได้ นั่นไง "สามเหลี่ยมทองคำ"
fact.
สามเหลี่ยมทองคำ ตั้งอยู่ห่างจากเชียงแสนไปทางทิศเหนือ 9 กิโลเมตร ตามถนนเลียบริมแม่น้ำโขง สบรวกเป็นบริเวณแม่น้ำโขงซึ่งกั้นดินแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศลาว มาพบกับแม่น้ำรวก ซึ่งกั้นดินแดนระหว่าง ประเทศไทยและประเทศพม่า จากจุดนี้นักท่องเที่ยวจะมองเห็นฝั่งพม่าและลาวได้ถนัดชัดเจน สามเหลี่ยมทองคำ เป็นที่ กล่าวขวัญกันในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นไร่ฝิ่นที่ใหญ่โตมาก เรียกว่าใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ แต่ปัจจุบัน ไม่มีไร่ฝิ่นที่ว่านี้อีกแล้ว คงเหลือแต่ทิวทัศน์ที่เงียบสงบของลำน้ำและเขตแดนของ 3 ประเทศเท่านั้น เป็นจุดที่แม่น้ำรวก ซึ่งกั้นพรมแดนไทยและพม่า มาบรรจบกันแม่น้ำโขงที่กั้นไทยกับลาว จุดนี้นักท่องเที่ยวจะ เห็นฝั่งพม่าและลาวได้ถนัด ชัดเจน สามเหลี่ยมทองคำเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะครั้งหนึ่งเคย เป็นไร่ฝิ่นที่ใหญ่โตมากเรียกว่า ใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันไม่มีไร่ฝิ่นที่ว่านี้อยู่แล้ว คงเหลือแต่ทิวทัศน์ที่ เงียบสงบของลำน้ำและเขตแดนของ 3 ประเทศเท่านั้น แต่ผู้คนก็ยังคงพากันเดินทางมาสัมผัสกับตำนาน สามเหลี่ยมทองคำโดยมีที่มาขอชื่อ ว่าหลังจากที่พม่าี่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ และลาวถูกฝรั่งเศสยึดครอง ก็เกิดการค้าขายสินค้าด้วยระบบและเปลี่ยนกันขึ้นโดย ทางฝั่งพม่านั้นจะมีผ้าแพร สินค้าจากจีน กระทะทองเหลือ และฝิ่นเป็นสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนกับผ้าไหม ทองคำแผ่น และทองคำแท่งของพ่อค้าฝั่งลาว ซึ่งพ่อค้าลาวจำเป็น ต้องล่องเรือตามลำน้ำโขงมาขึ้นที่บ้านป่าสัก เขตเมืองพงของ พม่าซึ่งตั้งอยู่เหนือบ้านสบรวกของไทย ปีหนึ่ง ๆ มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากันประมาณ 4-5 ครั้ง ทำให้บ้านป่าสักกลาย เป็นบริเวณขายที่เฟื่องฟูมากของสมัยนั้น และเพราะการและเปลี่ยนด้วยทองคำนี้เองจึงทำให้ชาวบ้านเรียกขานบริเวณนี้ กันจนติดปากว่า "สามเหลี่ยมทองคำ"
เริ่มหิวแล้ว.. น้ำมันก็ใกล้หมด ระยะทางกลับเมืองเชียงราย 60 km ไม่พอแน่ๆ
จึงมุ่งหน้าไปเชียงแสน ซึ่งไม่ไกล.. หาร้านอาหารริมแม่น้ำโขงทาน เมนูเด็ด ต้มยำปลาบึก !!! ยอดผักมะระ หมูทอดกระเทียม อิ่มเบย
พระจันทร์เต็มดวงซะด้วย ลมเย็น ดูแม่น้ำ อาหารอร่อย ชิลลลลลล จน ลืมไปเลยว่าน้ำมันใกล้หมด สำคัญปั๊มที่นี่ปิดเร็วมาก 2ทุ่มก็ปิดแล้วววว สรุป ต้องเติมปั๊มหลอด....555+
ทานเสร็จ ก็กลับเข้าเมืองเชียงราย มุ่งหน้าไปไนท์พลาซ่า เพื่อหา บัวลอยมือถือ เจ้าดังทาน แต่ปรากฏไปถึง3 ทุ่ม บัวลอยหมด อดกิน เสียดายจุง...
เดินเล่นไนท์พลาซ่าแทน
ว่าทำไมเมืองเงียบ คนหายไปไหนหมด มาอยู่ที่นี่กันเอง 55+
ราตรีสวัสดิ์... เหนื่อย... แต่... สนุกมากค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น